วิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5 ที่มากมายจนเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ของไทย กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติที่ทุกฝ่ายเร่งหาทางป้องกันและแก้ไข NANOTEC Newsletter ฉบับนี้ พามาคุยกับ “ดร.ยุ้ย-รัฐพร แสนเมืองชิน” กับการพัฒนาเครื่องเก็บฝุ่น เพื่อประยุกต์ใช้ร่วมกับอุปกรณ์ NanoSampler ที่สามารถเก็บและแยกตามขนาดฝุ่นละอองขนาดเล็กเป็น 6 ระดับชั้น ตั้งแต่ PM>10 ถึง PM0.1 ในโครงการ “การตรวจวิเคราะห์หาการกระจายขนาดและองค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่มีความร่วมมือทางวิชาการด้านการศึกษาวิจัยในประเด็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ร่วมกับภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยข้อมูลที่ได้นั้นจะนำไปสู่มาตรการการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การบริหารจัดการมลพิษ รวมถึงแนวทางการป้องกันและลดมลพิษที่ต้นทางได้ในอนาคต
โครงการวิจัย “การตรวจวิเคราะห์หาการกระจายขนาดและองค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” นำโดย ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงและความปลอดภัย พร้อมด้วยดร.อรรณพ คล้ำชื่น, ดร.ศศิธร เอื้อวิริยะวิทย์ และคณะ เป็นการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและสัดส่วนแหล่งกำเนิดของฝุ่นละอองขนาดเล็กในโดยเก็บตัวอย่างฝุ่นละอองขนาดเล็กในบรรยากาศสำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร สถานีตรวจวัดอากาศของกรมควบคุมมลพิษ 3 แห่ง ได้แก่ สถานีกรมประชาสัมพันธ์อารีย์ สถานีการเคหะชุมชนดินแดง และสถานีกรมอุตุนิยมวิทยาบางนา โดยใช้อุปกรณ์เก็บตัวอย่าง NanoSampler (Furuuchi et al., Aerosol and Air Quality Research, 10: 185–192, 2010) ที่สามารถเก็บและแยกตามขนาดฝุ่นละอองขนาดเล็กเป็น 6 ระดับชั้น คือ PM0.1, PM0.1-0.5, PM0.5-1, PM1-2.5, PM2.5-10 และ PM>10 ในเครื่องเดียว ซึ่งแตกต่างจากเครื่องเก็บตัวอย่างฝุ่นที่หน่วยงานต่าง ๆ ใช้ในปัจจุบัน ที่จะเก็บตัวอย่างฝุ่นและรายงานค่าความเข้มข้นฝุ่นเป็น PM2.5 และ PM10 ตามชนิดของเครื่องเก็บตัวอย่าง โดยส่วนใหญ่จะสามารถเก็บได้เพียงขนาดเดียวเท่านั้น
ผลจากการวิเคราะห์ฝุ่นละอองที่เก็บจาก 3 สถานีตรวจวัด เมื่อมองจากความเข้มข้นโดยมวลและการกระจายตัวของฝุ่น พบว่าความเข้มข้นฝุ่นสูง (80-180 มค.ก./ตร.ม.) ในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม และความเข้มข้นของฝุ่นต่ำลง (20-85 มค.ก./ตร.ม.) ในช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น (40-190 มค.ก./ตร.ม.) อีกครั้งในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม โดยพบฝุ่นช่วง PM0.5-1 และ PM2.5-10 มีสัดส่วนที่สูงที่สุด จากทุกสถานี และที่สำคัญ ความเข้มข้นโดยจำนวนของฝุ่นขนาดเล็กละเอียด (PM0.1) พบในสัดส่วนที่มากที่สุดในทุกสถานีตลอดทั้งปี
ด้านความเข้มข้นของสารคาร์บอนทั้งหมด (TC) ประกอบด้วยสารคาร์บอนอินทรีย์ (OC) และธาตุคาร์บอน (EC) สูงที่สุด ในช่วง PM0.5-1.0 และมีความเข้มข้น TC ต่ำสุดในช่วง PM>10 ซึ่งสารคาร์บอนทั้งหมดในแต่ละช่วงฝุ่นมีแนวโน้มสอดคล้องกันในทุกสถานี ความเข้มข้น OC ที่พบในทุกช่วงฝุ่นสูงกว่าความเข้มข้น EC โดยที่มีความเข้มข้นที่สูงในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม และความเข้มข้นลดต่ำลงในช่วงเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม และพบว่า สถานีดินแดงมีความเข้มข้นคาร์บอนสูงที่สุดทั้ง OC และ EC ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงและฝุ่นทุติยภูมิ
ผลการวิเคราะห์ไอออนละลายน้ำในองค์ประกอบของฝุ่น พบค่าความเข้มข้นของไอออนรวมมีแนวโน้มสอดคล้องกับความเข้มข้นฝุ่นโดยมวล ความเข้มข้นรวมของไอออนละลายน้ำในทุกช่วงฝุ่นในเดือนมกราคมถึงมีนาคมมีค่าสูง และลดต่ำลงในเดือนเมษายนถึงกันยายน จากนั้นมีแนวโน้มเริ่มสูงขึ้นในเดือนตุลาคมถึงธันวาคม และความเข้มข้นรวมของไอออนละลายน้ำในช่วง PM2.5-10 (เดือนเมษายนถึงกันยายน) จะสูงกว่าช่วงฝุ่นอื่น ๆ และจากสัดส่วนของไอออนละลายน้ำ โดยในช่วง PM0.1, PM0.5-1 และ PM1-2.5 พบซัลเฟตไอออน (SO42–) ในสัดส่วนที่สูง และในช่วง PM2.5-10 และ PM>10 พบไนเทรตไอออน (NO3–) ในสัดส่วนที่สูง โดยที่ทั้งไนเทรตไอออนและซัลเฟตไอออนมีแหล่งกำเนิดมาจากยานพาหนะและฝุ่นละอองลอยทุติยภูมิ
ผลการวิเคราะห์ธาตุโลหะหนักในองค์ประกอบของฝุ่น พบว่าความเข้มข้นธาตุโลหะหนักรวมมีปริมาณที่น้อยกว่าความเข้มข้นของสารคาร์บอนและไอออนละลายน้ำในทุกช่วงฝุ่น โดยความเข้มข้นของโลหะหนักแต่ละช่วงฝุ่นจะแตกต่างกันไป แต่พบเหล็ก (Fe), โซเดียม (Na), แมกนีเซียม (Mg), อะลูมิเนียม (Al) และโพแทสเซียม (K) ในปริมาณสูงในทุกสถานี ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากการจราจร อุตสาหกรรม ฝุ่นดิน ฝุ่นถนน และการเผาวัสดุชีวมวล
แหล่งกำเนิดของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และการมีส่วนร่วมของฝุ่นในแต่ละช่วง ได้แก่ PM0.1, PM0.5-2.5 และ PM2.5-10 ในกรุงเทพมหานครตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม 2564 ระบุด้วยแบบจำลองการแยกตัวประกอบเมทริกซ์เชิงบวก (Positive Matrix Factorization (PMF) receptor model) โดยอาศัยข้อมูลหลักเกี่ยวกับฝุ่นและองค์ประกอบทางเคมี ผลการศึกษาพบว่า แหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นละอองขนาด ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) มาจากไอเสียรถยนต์ 48% ฝุ่นทุติยภูมิ 1 21% การเผาในที่โล่ง 13% ฝุ่นจากโรงงานอุตสาหกรรมและฝุ่นถนน 8% ฝุ่นทุติยภูมิ 2 ที่มาจากแอมโมเนียมซัลเฟตเป็นหลัก 7% และฝุ่นจากเกลือทะเล 3%
และเมื่อจำแนกแหล่งกำเนิดของฝุ่นตามช่วงขนาด พบว่า แหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นละอองขนาดเล็กละเอียด (PM0.1) มาจากไอเสียรถยนต์ 65% ฝุ่นทุติยภูมิ 17% ฝุ่นถนน 14% และฝุ่นจากเกลือทะเล 4% สำหรับฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM0.5-2.5) มีแหลงกำเนิดหลักมาจากไอเสียรถยนต์ 41% การเผาในที่โล่ง 29% ฝุ่นจากเกลือทะเล 13% ฝุ่นทุติยภูมิ 7% ฝุ่นจากโรงงานอุตสาหกรรม 7% และฝุ่นดิน 3% และแหล่งที่มาสำหรับฝุ่นหยาบ (PM2.5-10) มีแหล่งกำเนิดหลักมาจากฝุ่นจากการก่อสร้าง 50% ฝุ่นดิน 23% ฝุ่นทุติยภูมิ 14% และฝุ่นจากโรงงานอุตสาหกรรม 13% โดยฝุ่นละอองขนาดเล็กส่วนใหญ่มาจากการมีส่วนร่วมของมนุษย์