ปิดฉากไปอย่างสวยงามกับงานประชุมและนิทรรศการ APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ภายใต้แนวคิด ผสานพลัง วทน. เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน (Synergizing STI to Sustainable Business) ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดขึ้น โดย นาโนเทค สวทช. ก็ไม่พลาดที่จะนำผลงานวิจัย นวัตกรรม รวมถึง Deep tech Startups เข้าร่วมนำเสนอศักยภาพและความเชี่ยวชาญที่มีโอกาสในการต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์ในหลากหลายมิติ NANOTEC Newsletter ฉบับนี้ จะพาไปรู้จักนวัตกรรมนาโนเทคที่สร้างการรับรู้ และความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าร่วมชมงาน
งานประชุมและนิทรรศการ APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ภายใต้แนวคิด ผสานพลัง วทน. เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน (Synergizing STI to Sustainable Business) เพื่อเป็นกิจกรรมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022 Thailand) และเปิดงาน Thailand Tech Show 2022 เวทีแสดงผลงานทางวิชาการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมวิจัยที่พร้อมต่อยอดธุรกิจ พร้อมทั้งเป็นการส่งเสริมโอกาสความร่วมมือด้านธุรกิจ วิชาการระหว่างสมาชิกเอเปคให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคม 2565 ที่ เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
‘Prolifera’ คว้า "ผลงานวิจัยที่น่าลงทุนประจำปี 2565"
และ "ผลงานที่นำเสนอดีที่สุด"
“โม-กชกร เอี่ยมวิมังสา” ตัวแทนทีม Prolifera กล่าวว่า “พรอลิเฟอรา” ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยที่ให้ความสำคัญกับการดูแลผิวพรรณ ด้วยนวัตกรรมไมโครสไปก์จากฝีมือคนไทย โดยมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของผลิตภัณฑ์ว่า จะสามารถผลักดันให้ก้าวเข้าสู่หนึ่งในตลาด Beauty device ภายใน 1 ปีข้างหน้า
Prolifera (พรอลิเฟอรา) คือแผ่นแปะที่พัฒนามาจากการต่อยอดเทคโนโลยีไมโครนีดเดิล (Microneedle) โดยทีมวิจัยเข็มระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค ซึ่งได้นำเทคโนโลยีที่เรียกว่า “ไมโครสไปก์” ที่ถูกออกแบบมาให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานบริเวณใบหน้า มาผลิตเป็นแผ่นแปะสำหรับปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียน มีความอ่อนโยนต่อผิวและไม่ทำให้เกิดแผล จึงจำเป็นต้องพักฟื้น นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เมื่อเทียบกับวิธีการใช้ลูกกลิ้งบนใบหน้า หรือ microneedling ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิม
แผ่นแปะพรอลิเฟอรา ถูกพัฒนาออกมา 2 แอพพลิเคชั่นคือ แผ่นแปะสำหรับใต้ตา และแผ่นแปะสำหรับร่องแก้ม เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีความบอบบาง และยากต่อการใช้ลูกกลิ้งกลิ้งให้ทั่วบริเวณโดยไม่ทำร้ายเซลล์ผิว เทคโนโลยีไมโครสไปก์บนแผ่นแปะพรอลิเฟอรา มีจุดสัมผัสกับผิวหน้าในจำนวนเพียงพอต่อการแปะบนใบหน้าเพียงครั้งเดียวเทียบเท่ากับวิธี microneedling โดยมีวิธีการใช้งานที่ง่าย สามารถใช้แผ่นแปะในบริเวณที่ต้องการเพื่อช่วยปรับสภาพผิวได้เพียงครั้งละ 5 นาที และสามารถใช้ซ้ำได้ทุกๆ 2 สัปดาห์ไปจนกว่าจะเห็นผลที่พึงพอใจ ซึ่งผ่านการทดสอบทางคลินิกโดยแพทย์ผิวหนังในอาสาสมัครจำนวน 23 ราย จากการทดสอบจริงนานครั้งละ 5 นาที ผลพบว่า ผิวแลดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังผ่านการทดสอบการแพ้ทางผิวหนัง (Sensitization Test), การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ (Cytotoxicity Test) และการทดสอบการระคายเคืองทางผิวหนัง (Skin Irritation Test) แล้ว
“Prolifera แผ่นแปะปรับสภาพผิวให้แลดูเรียบเนียน” ได้รับรางวัลผลงานที่น่าลงทุนที่สุดประจำปี 2565 จากการโหวตจากนักลงทุนและประชาชนที่เข้าร่วมงาน และรางวัลผลงานที่นำเสนอดีที่สุดจากเวทีการนำเสนอผลงานวิจัยเด่นที่น่าลงทุน (Investment Pitching) ซึ่งในปีนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 9 ผลงานจาก สวทช. 4 ผลงาน และพันธมิตร 4 ผลงาน และต่างประเทศ 1 ผลงาน
ปุ๋ยคีเลตจุลธาตุอาหาร นวัตกรรมลงสวนทุเรียน-นาข้าวตอบ BCG
อีกผลงานที่โดดเด่นบนเวที Investment Pitching ก็คือ งานวิจัยปุ๋ยคีเลตจุลธาตุอาหารรอง-เสริม ที่ ดร.คมสันต์ สุทธิสินทอง ทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. พัฒนาขึ้นอย่างเต็มกำลัง
ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยคีเลต เป็นการต่อยอดงานวิจัย “สารคีเลตจุลธาตุอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มการดูดซึมเข้าสู่พืช” ที่แก้ปัญหาการสูญเสียและไม่ค่อยได้ประสิทธิภาพของการเติมจุลธาตุอาหารให้กับพืช เพื่อให้พืชมีความสมบูรณ์ ด้วยธาตุอาหารกลุ่มนี้ตกตะกอนง่าย พืชไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาขึ้นด้วยการเตรียมจากกรดอะมิโนซึ่งเป็นหน่วยย่อยขององค์ประกอบประเภทโปรตีนของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ผ่านกระบวนการห่อหุ้มจุลธาตุอาหารในรูปแบบสารเชิงซ้อน ให้อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ดี พร้อมพัฒนาให้สามารถห่อหุ้มจุลธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถในการยึดเกาะใบด้วยสารโมเลกุลขนาดใหญ่สลายตัวได้ตามธรรมชาติ จึงสามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรต่อไร่ได้ 20-50%
ดร.คมสันต์กล่าวว่า การทดสอบภาคสนามที่ทีมวิจัยนาโนเทคร่วมกับบริษัท เทค ซายน์ จำกัด เอกชนที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีร่วมกันดำเนินการนั้น เริ่มในพืชเศรษฐกิจ 2 ชนิดคือ ทุเรียน และข้าว ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ เนื่องจากไทยส่งออกทุเรียนประมาณ 0.65 ล้านตันต่อปี โดยมีพื้นที่เพาะปลูกราว 1 ล้านไร่ มูลค่ามากกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท ในขณะเดียวกัน เราส่งออกข้าวประมาณ 6.11 ล้านตันต่อปี โดยมีพื้นที่เพาะปลูกราว 60 ล้านไร่ มูลค่ามากกว่า 10.07 หมื่นล้านบาท ผล พบว่า ปุ๋ยคีเลตจุลธาตุอาหารพืชนี้ สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตทุเรียนต่อไร่ 20-40% โดยได้มีการทดสอบในสวนทุเรียนภาคตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ EEC ในขณะเดียวกัน ปุ๋ยคีเลตนี้ ก็ทำการทดสอบในพื้นที่นาข้าว โดยผลคือ สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวต่อไร่ 25-50%
นักวิจัยนาโนเทคชี้ว่า ด้วยมูลค่าการนำเข้าธาตุอาหารรอง-เสริมเฉลี่ยอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ทำให้นวัตกรรมปุ๋ยคีเลตนี้ มีความเป็นไปได้สูงสำหรับการต่อยอดเชิงพาณิชย์ที่ตอบความต้องการของเกษตรกรไทยอย่างแท้จริง
ดีพเทคสตาร์ทอัพนาโนเทค พร้อมลุย
ภายในงานยังมี 2 ดีพเทคสตาร์ทอัพ ที่สปินออฟออกมาจากนาโนเทค สวทช. คือ บริษัท สไปก์ อาชิเทคโทนิกส์ จำกัด และ บริษัท นาโน โคตติ้ง เทค จำกัด (NANO COATING TECH., Co.LTD)
บริษัท สไปก์ อาชิเทคโทนิกส์ จำกัด โดย ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ CTO และนายต่อตระกูล พูลโสภา CEO ของบริษัทสตาร์ทอัพนี้ โดยได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไมโครสไปก์ จากงานวิจัยของนาโนเทคสำหรับเสริมประสิทธิภาพการดูแลผิว และนำส่งสารสำคัญผ่านผิวหนัง เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านสุขภาพ ความงาม และการแพทย์อนาคต สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามที่ต้องการเพิ่มมูลค่าหรือสร้างอัตลักษณ์เฉพาะให้กับสินค้า นำไปสู่การผลิตไมโครสไปก์ที่ตอบโจทย์การใช้งาน เพื่อให้ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจที่สนใจเทคโนโลยีสามารถเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์และมองเห็นโอกาสการต่อยอดทางธุรกิจ และมีความพร้อมในการนำไปใช้งานในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมความงาม ลดการพึ่งพาหรือนำเข้าเทคโนโลยีเดิมจากต่างประเทศ มีความสามารถในการส่งออกผลิตภัณฑ์ด้านความงามและสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ
ในขณะที่ บริษัท นาโน โคตติ้ง เทค จำกัด โดย ดร.ธันยกร เมืองนาโพธิ์ ที่ขยับขยายจากนักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมเคลือบนาโน นาโนเทค สวทช. เพิ่มมาอีก 1 บทบาทของการเป็นกรรมการผู้จัดการดูแลบริษัทสตาร์ทอัพนี้ โดยนำเสนอเทคโนโลยีหลักอย่าง เทคโนโลยีการเคลือบนาโน (NanoCoating Technology) ที่ต่อยอดสู่นวัตกรรมสารเคลือบนาโนกันน้ำและฝุ่น ที่มีความโปร่งใส ยึดเกาะบนพื้นผิวโซลาร์เซลล์ได้ดี ลดการเกาะของฝุ่นอันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของโซลาร์เซลล์ลดลง ทนทานต่อสภาพอากาศในเมืองไทย ช่วยลดภาระในการทำความสะอาดและบำรุงรักษา นอกจากนี้สารเคลือบนาโนยังไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์โซลาร์เซลล์ ผู้ที่ทำการเคลือบ และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม สามารถตอบโจทย์การใช้งานพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในระดับภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดีจากในงาน มีผู้สนใจนวัตกรรมนี้เป็นจำนวนมาก
"นอกจากนี้ เทคโนโลยีการเคลือบนาโน ภายใต้การดำเนินการของบริษัท นาโน โคตติ้ง เทค จำกัด ยังสามารถพัฒนาเป็นสารเคลือบนาโนหลายชนิด ที่สามารถต่อยอดใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย อาทิ อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง หรือกลุ่มธุรกิจบริการซ่อมบำรุงอาคารสถานที่ เพื่อคงสภาพคอนกรีตหรือสีทาภายนอกอาคาร ให้ใหม่อยู่เสมอ, อุตสาหกรรมการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการใช้วัสดุโลหะ เพื่อเคลือบป้องกันสนิม, อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันฝุ่น ช่วยรักษาสมรรถนะการทำงานของเครื่องยนต์ หรืออุตสาหกรรมสิ่งทอหนังและพลาสติก เพื่อเพิ่มสมบัติการสะท้อนน้ำและสิ่งสกปรก กันฝุ่น หรือยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ เป็นต้น" ดร.ธันยกรกล่าว
Success Case
เทคโนโลยีอนุภาคกักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือ สู่นวัตกรรมความงามถึงมือผู้ใช้
นอกจากนี้ ยังมีผลงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จการต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่าง ริเชอรอล (REISHURAL) เซรั่มจากสารสกัดเห็ดหลินจือ ของ บริษัท ฟาร์มคิดดี จำกัด เอกชนผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากงานวิจัยเรื่อง การพัฒนากรรมวิธีสกัดสารสำคัญจากดอกและสปอร์เห็ดหลินจือและระบบอนุภาคนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเวชสำอาง โดย ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด หัวหน้าโครงการ และคณะ ทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช.
ซึ่งนักวิจัยนาโนเทคได้พัฒนากระบวนการสกัดดอกเห็ดหลินจือ โดยสารสกัดเห็ดหลินจือที่ได้นั้น พบสารสำคัญหลักคือ Ganoderic acid A และ Ganoderic acid C2 จึงได้ต่อยอดพัฒนาระบบกักเก็บสารสำคัญ ในระบบอนุภาคนิโอโซม เพื่อกักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือ มีขนาดอนุภาคช่วง 144.6 ถึง 308.3 นาโนเมตร และประสิทธิภาพการกักเก็บ 96.67% ทำให้อนุภาคนี้กระจายตัวได้ดี มีความคงตัว มีความปลอดภัยในการเพาะเลี้ยงเซลล์ไฟโบรบลาสต์ และมีความปลอดภัยเมื่อสัมผัสผิวหนังในมนุษย์ ที่สำคัญคือ อนุภาคสามารถนำส่งสารสำคัญเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 4.640 ถึง 97.44 ในเวลา 24 ชั่วโมง
อนุภาคกักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือที่ได้ ได้ยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของอนุภาคในชื่อ ริชโอโซม (REISHOSOME) และได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของริชโอโซมที่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และผ่านการทดสอบในอาสาสมัครทั้งความปลอดภัยด้านการระคายเคืองผิวหนัง (Irritation test) และประสิทธิศักย์ (Efficacy test) โดยผลการทดสอบประสิทธิศักย์พบว่า ผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวฯ สามารถช่วยแลดูริ้วรอยลดเลือน ทำให้ผิวหน้าแลดูกระจ่างใส ผิวดูกระชับขึ้น และ ผิวมีความชุ่มชื่นเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ในอาสาสมัคร และจดแจ้ง อย. ภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ริเชอรอล (REISHURAL)
ริเชอรอล ยังได้รับรางวัล “รางวัลเหรียญเงิน” งานประกวดนวัตกรรมโลก “SPECIAL EDITION 2022 – INVENTION GENEVA EVALUATION DAYS” ณ สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์ อีกด้วย ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำเร็จของผลงานวิจัยที่สามารถต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมเครื่องสำอางระดับโลก
ตัวนำส่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสำหรับสารสกัดถังเช่า
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ได้รับเกียรติบัตรที่มีความโดดเด่นด้านการร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคเอกชนอย่าง ดร.คทาวุธ นามดี นักวิจัยกลุ่มวิจัยห่อหุ้มระดับนาโน จากงานวิจัยเรื่อง ตัวนำส่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสำหรับสารสกัดถังเช่า กับบริษัท บริษัท ไฮบาลานซ์ จำกัด โดยทางทีมวิจัยได้ทำการพัฒนาอนุภาคนาโนไขมัน บิโลนิโอโซม ที่มีคุณสมบัติทนต่อสภาวะเป็นกรดในกระเพาะอาหารและสามารถเพิ่มการดูดซึมในลำไส้ซึ่งเป็นอวัยวะเป้าหมายหลัก
ทีมวิจัยพัฒนาโดยเลียนแบบการทำงานของระบบย่อยอาหาร นำเอาเกลือน้ำดี (Bile salt) ซึ่งเป็นสารลดแรงตึงผิว (emulsifier) ที่มีอยู่ระบบทางเดินอาหารมาเป็นส่วนประกอบของผนังอนุภาคนาโนที่ใช้นำส่งสารสกัดถั่งเช่า ซึ่งเกลือน้ำดีมีบทบาทสำคัญมากในการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมัน มีหน้าที่เป็น emulsifier ในธรรมชาติ ช่วยในการย่อยและดูดซึมไขมันและน้ำมันในลำไส้เล็ก เกลือน้ำดีประกอบด้วยส่วนชอบน้ำ (hydrophilic side) และส่วนไม่ชอบน้ำ (hydrophobic side) ทำให้โมเลกุลของเกลือมีแนวโน้มรวมตัวกันเป็นไมเซลล์ (micelles) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่หันส่วนไม่ชอบน้ำเข้าสู่ตรงกลางและหันด้านชอบน้ำออกด้านนอก ซึ่งข้อดีจุดนี้สามารถที่จะนำมาเป็นส่วนประกอบของอนุภาคนาโนไขมันได้
นอกจากนั้น เกลือน้ำดียังช่วยเพิ่มความสามารถในการซึมผ่านของ lipophilic compounds ผ่านทางผนังเซลล์หรือผนังลำไส้ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม oral bioavailability ของสารสำคัญในร่างกาย ในการแตกตัวของเกลือน้ำดีนั้น จะได้เกลือและกรดน้ำดีที่มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนซึ่งเหมาะในการเป็นตัวบัฟเฟอร์ในสภาวะกรดในกระเพาะอาหาร ดังนั้น ในงานวิจัยชิ้นนี้ได้นำเอาเกลือน้ำดีมาใช้ในระบบนำส่งทางการกิน เพื่อเพิ่มความคงตัวในกรดและเพิ่มการดูดซึมของสารสำคัญในลำไส้ ซึ่งทางทีมวิจัยได้ทำการจดเทคโนโลยีนี้เป็นอนุสิทธิบัตร ตามเลขที่คำขอ 1903002367
เวชสำอางจากอนุภาคนาโนเพื่อการนำส่งบัวบก มังคุด กานพลู
และ ดร.สุวิมล สุรัสโม นักวิจัยกลุ่มวิจัยห่อหุ้มระดับนาโน จากงานวิจัยเรื่อง อนุภาคนาโนเพื่อการนำส่งบัวบก มังคุด กานพลู สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับ บริษัท สมาร์ค เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด โดยงานวิจัยนี้เป็นการพัฒนาอนุภาคนาโนเพื่อการกักเก็บสารสกัดจากธรรมชาติ 3 ชนิดที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านการดูแลผิวที่มีปัญหาเกี่ยวกับสิว และการอักเสบ ซึ่งสมุนไพรที่นำมาพัฒนา ประกอบด้วย สารสกัดบัวบก สารสกัดเปลือกมังคุด และน้ำมันกานพลู โดยดึงคุณสมบัติเด่นของสารสกัดแต่ละชนิดมาร่วมอยู่ในอนุภาคนำส่งเดียวกัน
อนุภาคนาโนเพื่อการนำส่งบัวบก มังคุด กานพลู ที่พัฒนาขึ้นนั้น มีขนาดอนุภาคอยู่ในช่วง 100 -120 นาโนเมตร มีความคงตัวที่ดี คุณสมบัติเด่นในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่ผิวหนัง โดยเฉพาะ Propionibacterium acnes รวมถึงฤทธิ์ในการต้านการอักเสบที่ดี มีความปลอดภัยในการเพาะเลี้ยงเซลล์ผิวหนังไฟโบรบลาสต์ และสามารถช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตเซลล์ผิวหนังได้ด้วย นอกจากนั้น ทีมวิจัยได้ทดลองความสามารถในการซึมผ่านชั้นผิวหนัง พบว่า อนุภาคนาโนเพื่อการนำส่งบัวบก มังคุด กานพลูนี้สามารถเพิ่มการซึมผ่านชั้นผิวหนัง (Skin penetration) ได้ดีขึ้น
ณ ปัจจุบัน บริษัทได้ดำเนิการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ACNE EMUGLE ช่วยลดโอกาสการเกิดสิว และฟื้นฟูสภาพผิวให้ดีขึ้น อีกทั้งผลิตภัณฑ์นี้ ได้ดำเนินการผลิตภายใต้โรงงานเครื่องสำอางที่มีมาตรฐาน GMP ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่ออาสาสมัครผู้ใช้งาน